Press 220868

 

กรมสุขภาพจิต แสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์สามีภรรยา 2 ราย กระโดดสะพานในพื้นที่กรุงเทพฯ พร้อมแนะคนรอบข้างรู้เท่าทันสัญญาณเตือนภาวะเสี่ยงฆ่าตัวตาย เน้นย้ำช่องทางการช่วยเหลือเพื่อป้องกันเหตุสะเทือนใจ

          เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจ เมื่อสามีภรรยาคู่หนึ่งกระโดดจากสะพานแห่งหนึ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ จากเหตุการณ์ดังกล่าว กรมสุขภาพจิตขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้สูญหาย และขอใช้โอกาสนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการตระหนักรู้เรื่องสุขภาพจิตในสังคม เพราะทุกการสูญเสียจากการฆ่าตัวตาย คือการจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ และหลายครั้งเกิดขึ้นอย่างเงียบงัน โดยที่คนรอบข้างไม่ทันได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

          นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัญหาการฆ่าตัวตายกำลังเป็นปัญหาที่ท้าทายสังคมไทย เนื่องจากสภาพสังคมในปัจจุบันมีส่วนส่งผลให้บางคนหรือบางครอบครัวตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย เช่น ปัญหาเศรษฐกิจจากการทำธุรกิจหรือถูกหลอกลวง,  ปัญหาการใช้สารเสพติดและแอลกอฮอล์, การเป็นสังคมผู้สูงอายุที่ทำให้ผู้สูงอายุบางคนรู้สึกโดดเดี่ยวหรือมีโรคเรื้อรัง และปัญหาความสัมพันธ์ เป็นต้น กรมสุขภาพจิตขอส่งสัญญาณเตือนไปยังประชาชนว่า เมื่อความคิดอยากฆ่าตัวตายนั่นหมายถึงว่าเรากำลังมีความรู้สึกสิ้นหวัง เจ็บปวดหรือทุกข์ใจมาก ซึ่งเป็นสภาวะทางอารมณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อให้ผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายนี้ไปให้ได้ด้วยการฝืนตัวเองไปทำกิจกรรมอื่นๆ เพื่อหันเหความรู้สึก, การปรึกษาคนใกล้ชิด, การขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือสายด่วน 1323 ของกรมสุขภาพจิต

          นายแพทย์กิตติศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับคนใกล้ชิด, อสม. หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข สามารถเฝ้าระวังผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครอบครัวเปราะบาง เช่น ครอบครัวที่มีหนี้สินหนัก, มีผู้ป่วยเรื้อรัง, ว่างงาน และไม่มีเครือข่ายสนับสนุน หากมีสมาชิกในครอบครัวชักชวนให้ทำร้ายตัวเองไปพร้อมกัน ให้รับฟังและพูดคุย เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตที่เหมาะสม โดยสามารถใช้แนวทาง “3 ส” ที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและเฝ้าระวัง ได้แก่ 1. สอดส่องมองหา สังเกตคนใกล้ชิดหรือคนรอบตัว ว่ามีความผิดปกติทางอารมณ์หรือพฤติกรรมหรือไม่ 2. ใส่ใจรับฟัง รับฟังอย่างเข้าใจโดยไม่ตัดสิน เพื่อให้เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง 3. ส่งต่อเชื่อมโยง ส่งต่อผู้ที่มีความเสี่ยงหรือกำลังประสบปัญหาเข้าสู่บริการ หรือขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะหากเราทุกคนมองเห็นความสำคัญของการดูแลจิตใจซึ่งกันและกัน โอกาสในการป้องกันการฆ่าตัวตายย่อมมีมากขึ้น กรมสุขภาพจิตจึงขอให้ประชาชนทุกคนเฝ้าระวังสุขภาพจิตของตนเองและคนใกล้ชิดอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตนเอง

          นายแพทย์จุมภฏ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า วิธีการพูดคุยกับคนที่คิดอยากฆ่าตัวตาย สามารถทำได้โดย 1. รับฟังและยอมรับความรู้สึก ใช้คำพูด เช่น “ฉันพร้อมที่จะอยู่ตรงนี้กับเธอ” หรือ “ฉันเห็นว่าเธอกำลังเจ็บปวดมาก” และหลีกเลี่ยงการพูดว่า “อย่าคิดมาก” หรือ “ทำไมไม่สู้หน่อย” เพราะจะทำให้เขารู้สึกถูกลดทอนค่าความเจ็บปวด 2. แสดงความห่วงใยและความสำคัญ ย้ำว่าเขารู้สึกมีคุณค่า เช่น “เธอมีความสำคัญสำหรับฉัน” หรือ “ฉันไม่อยากเห็นเธอทำร้ายตัวเองเลย” 3. ถามตรง ๆ ด้วยความอ่อนโยน เช่น “ตอนนี้เธอคิดอยากทำร้ายตัวเองไหม” การถามตรง ๆ ไม่ได้ทำให้เขาอยากฆ่าตัวตายมากขึ้น แต่ช่วยเปิดพื้นที่ให้ได้พูดและระบายความรู้สึก 4. เสนอความช่วยเหลือ รวมถึงเสนอที่จะอยู่เป็นเพื่อน และพาไปพบผู้เชี่ยวชาญ เช่น หมอ หรือนักจิตวิทยา หรือโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323 5. อยู่กับเขาในช่วงวิกฤติ อย่าปล่อยให้อยู่ลำพังถ้ามีความเสี่ยงสูง และหากสถานการณ์อันตราย ควรโทรหาคนใกล้ชิดหรือสายด่วนเพื่อขอความช่วยเหลือทันที ทั้งนี้สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือ อย่าบอกว่า “การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องบาป/ผิด” หรือ “เธอไม่ควรคิดแบบนี้” เพราะจะทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้น และอย่าเปลี่ยนเรื่องหนี หรือรีบให้คำแนะนำทันที ควรให้ความสำคัญกับการรับฟังมากกว่า

         ทั้งนี้ หากพบผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจใกล้บ้าน หรือโทรแจ้ง 191 เพื่อให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน และหากรู้สึกเครียดหรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

********************

23 สิงหาคม 2568