ED827C72 0A96 4493 88B5 19FA7DDB1AF6

 

 

กรมสุขภาพจิต ชวนคนไทยตระหนักถึงความเครียดของเยาวชน เพราะสามารถส่งผลต่อการก่อความรุนแรงในครอบครัวได้

     วันนี้ (10 เมษายน 2565) กรมสุขภาพจิต สะท้อนสถานการณ์วัยรุ่นมีแนวโน้มความเครียดสูงขึ้นมาก โดยสูงกว่าในกลุ่มวัยทำงานถึง 4 เท่า พร้อมย้ำเตือนครอบครัวและสังคมสามารถช่วยยับยั้งปัญหาดังกล่าวได้หากให้ความใส่ใจความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของสมาชิกในครอบครัว เรียนรู้ร่วมกันเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งโดยไม่นำไปสู่ความรุนแรง
     พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว มักจะถูกเพิกเฉยเพราะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว จึงขอให้สังคมอย่าปล่อยปละให้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องเล็กน้อยอีกต่อไป เพราะในปัจจุบันนั้นมีพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ที่ให้การคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหา โดยเจตจำนงที่สำคัญก็เพื่อให้สังคมสามารถช่วยเหลือกัน ซึ่งเมื่อท่านใดพบเห็นความรุนแรงในครอบครัวสามารถแจ้งตำรวจหรือในชนบทเองสามารถแจ้งได้ทั้งกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านเพื่อทำการช่วยเหลือได้ทันที วงจรการทำร้ายกันในครอบครัวก็จะสิ้นสุดลง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคนในชุมชนอย่านิ่งเฉยและอย่ายอมให้มีการทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งนี้การเกิดความรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่มีลูกวัยรุ่น มักมีที่มาจากปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ชอบคิดเอง ทำเอง พึ่งตนเอง ไม่ชอบที่จะถูกบังคับ รวมทั้งเป็นช่วงที่อารมณ์จะเปลี่ยนแปลงง่าย อีกทั้งในภาวะปัจจุบันจากผลสำรวจของ Mental Health Check In พบว่า วัยรุ่นมีแนวโน้มความเครียดสูงขึ้นมาก โดยระดับความเครียดในรอบมีนาคมที่ผ่านมายังสูงกว่าในกลุ่มวัยทำงานถึง 4 เท่า ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่ก่อความรุนแรง นอกจากเป็นขัดใจในเรื่องของ ความรัก ยังมีเรื่องการเรียน การใช้จ่าย รวมไปถึงการใช้เวลากับสิ่งที่เด็กสนใจจนแต่ถูกตำหนิเพราะเหมือนหมกมุ่นในสายตาผู้ใหญ่จนนำมาสู่การทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน และนำไปสู่ความรุนแรงในที่สุด

    พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ กล่าวเพิ่มเติมว่า การสร้างความเข้าใจกันในครอบครัว การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว จึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการป้องกันปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เริ่มจากการรับฟังกันอย่างตั้งใจ เพื่อให้เข้าใจความคิด ความต้องการของกันและกัน เป็นการแสดงถึงความเข้าใจ ให้เกียรติ ยอมรับซึ่งกันและกัน เพิ่มการสื่อสารเชิงบวกเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาด้วยกัน ไม่ใช่เพียงตำหนิต่อว่ากันแล้วจบไป แต่ควรพูดคุยเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกัน โดยการบอกความรู้สึก ความต้องการ ความเป็นห่วงของตนเองอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ผู้รับฟังเข้าใจความรู้สึกที่หวังดีของเรา ไม่ใช่เพียงรับรู้ถึงแค่ความโกรธความไม่พอใจถึงพฤติกรรมของอีกฝ่าย สมาชิกในครอบครัวต้องสังเกตความขัดแย้งที่เด็กจัดการด้วยความสร้างสรรค์ไม่ได้เพื่อหาทางออกในการช่วยเหลือที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรง และอีกประเด็นที่สำคัญการคือขอความร่วมมือให้สื่อหรือประชาชนไม่นำเสนอการสัมภาษณ์เด็กที่เป็นจำเลยของคดีหรือสังคมผ่านช่องทางต่างๆ เนื่องจากเป็นคดีที่สร้างความอ่อนไหวอีกทั้งการเปิดเผยข้อมูลย่อมส่งผลกระทบในเชิงลบทั้งต่อจิตใจของเยาวชนและผู้ที่เกี่ยวข้องทำให้ถูกตีตราและกีดกันต่อสังคมอีกด้วย
      กรมสุขภาพจิตเล็งเห็นว่าปัญหาทางอารมณ์ของเด็กเป็นเรื่องที่ทุกคนในสังคมต้องร่วมมือกันแก้ไข โดยสามารถเริ่มจากครอบครัวของตนเอง ไม่ควรมองว่าเรื่องของเด็กหรือความเครียดของเด็กเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ควรปรับวิธีการแก้ไขปัญหา โดยการรับฟังกัน เพิ่มการสื่อสารเชิงบวกในครอบครัว เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดี และครอบครัวต้องเป็นตัวอย่างในการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมโดยไม่ใช้ความรุนแรงต่อไป หากพ่อแม่ ผู้ปกครองสงสัยว่าสมาชิกในครอบครัวอาจมีปัญหามาจากเรื่องสุขภาพจิต สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือจิตแพทย์เพื่อร่วมกันวางแผนช่วยเหลือ หรือโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับคำปรึกษาเบื้องต้นเพื่อไม่ให้ทุกอย่างสายเกินไป

*** 10 เมษายน 2565