Press 270267

 

กรมสุขภาพจิต เชิญชวนสังคมร่วมใจเฝ้าระวังผู้มีปัญหาจิตเวชที่เสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง พร้อมเน้นย้ำให้เข้าสู่การรักษา กินยาต่อเนื่อง และงดใช้สุรา/สารเสพติด เพราะทำให้การรักษาไม่ดีและมีอาการกำเริบก่อความรุนแรงได้

        วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2567) กรมสุขภาพจิต เร่งประสานงานลงพื้นที่เพื่อเยียวยาใจประชาชนในพื้น จังหวัดนครศรีธรรมราชจากกรณีที่มีการก่อความรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส โดยผู้ก่อเหตุมีประวัติการเจ็บป่วยทางจิตและดื่มสุรา เน้นย้ำการรักษาต่อเนื่องร่วมกับการงดสุรา/สารเสพติด มีส่วนสำคัญต่อการลดการกำเริบซ้ำทางกาย พร้อมชี้ พ.ร.บ.สุขภาพจิต สามารถกำหนดให้มีการควบคุมตัวบุคคลลักษณะนี้เข้ารับการรักษาก่อนที่จะไปก่อความรุนแรงในสังคมได้ 

        นายแพทย์พงศ์เกษม  ไข่มุกด์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในประเด็นนี้แม้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีนโยบายที่จะผลักดันผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดเข้าสู่ระบบการดูแลรักษา ให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตในชุมชนได้อย่างปกติ แต่มาตรการที่ควรดำเนินการควบคู่กัน คือ การเฝ้าระวัง และช่วยกันเป็นหูเป็นตาที่จะสังเกตพฤติกรรม เพราะแม้จะเป็นผู้ที่รับการรักษา กินยาอย่างต่อเนื่อง แต่หากยังมีพฤติกรรมเสี่ยง อันได้แก่ ดื่มสุราและใช้สารเสพติด ทำให้อาการกำเริบได้ ซึ่งสิ่งที่ประชาชนในพื้นที่จะร่วมกันเฝ้าระวังสามารถทำได้จากการสังเกตสัญญาณเตือนของบุคคลที่จะนำมาซึ่งความรุนแรง ได้แก่ 5 สัญญาณอันตราย คือ นอนไม่หลับ เดินไปมา พูดคนเดียว หงุดหงิดฉุนเฉียว และหวาดระแวง โดยปี 2566 ที่ผ่านมา กรมสุขภาพจิต กรมการแพทย์ และสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด สธ. ติดตามให้คำแนะนำการดำเนินงานระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ทุกจังหวัด ร่วมกับการขยายผลการจัดตั้งศูนย์คัดกรองครอบคลุมทุกตำบล จัดทำแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยในจังหวัดอย่างไร้รอยต่อ บูรณาการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในชุมชน จัดฝึกอบรมระยะสั้นให้กับแพทย์และพยาบาลวิชาชีพ และภาคีเครือข่ายทั้ง 13 เขตสุขภาพ

        นายแพทย์จุมภฎ พรมสีดา กล่าวว่า ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต ได้มีการกำหนดกฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งตามมาตรา 22 บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตกรณีใดกรณีหนึ่งนี้ เป็นบุคคลที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา คือ 1.มีภาวะอันตราย และ 2.มีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา โดยมาตรา 23 ผู้ใดพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์อันน่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีลักษณะตามมาตรา 22 ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจโดยไม่ชักช้า และให้นำผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตส่งสถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยอาการ หากประชาชนท่านใดพบบุคคลใกล้ชิด หรือบุคคลทั่วไปที่แสดงอาการผิดปกติหรือมีอาการกำเริบ หากมีแนวโน้มความรุนแรงมากและเป็นอันตราย สามารถโทรแจ้งเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ/ฝ่ายปกครอง/เจ้าหน้าที่สาธารณสุข สายด่วนตำรวจ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในกรณีที่ไม่รุนแรง สามารถโทรขอคำปรึกษาที่ สายด่วนสุขภาพจิต 1323

        ********************     (27 กุมภาพันธ์ 2567)